หลายคนคงมีข้อสงสัยว่า
- กองทุนแบบปันผล กับแบบไม่ปันผล แบบไหนดีกว่ากัน
- ทำไมกองทุนรวมบางกองจึงมีการจ่ายเงินปันผล แต่บางกองก็ไม่มีการจ่ายเงินปันผล
แล้วผลตอบแทนที่ได้รับจากกองทุนรวมทั้งสองกองนี้แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
- ลงทุนเพื่อเพิ่มค่าของเงินลงทุน หมายความว่า ต้องการให้หลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินที่ตนเองลงทุนหรือมีอยู่นั้นเพิ่มมูลค่าขึ้นเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่ลงทุน ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้ลงทุนคาดหวังให้หุ้นที่ตัวเองซื้อนั้นมีราคาเพิ่มขึ้น เพื่อจะได้มีกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง หรือเปรียบเทียบกับการซื้อที่ดิน ผู้ซื้อก็คาดหวังว่าเมื่อเวลาผ่านไปที่ดินจะมีราคาเพิ่มขึ้น เหล่านี้เป็นต้น
- ลงทุนเพื่อให้มีรายได้ประจำ หมายความว่า ในระยะเวลาที่มีการลงทุนในหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินใดๆก็ตาม ต้องการให้มีกระแสเงินสดรับเข้ามาแน่นอนเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งรายได้ประจำนี้อาจจะอยู่ในรูปของดอกเบี้ยรับและเงินปันผล หรือรายได้จากการให้เช่าที่ดิน อาคาร เป็นต้น
- ลงทุนเพื่อปกป้องเงินทุน หรือต้องการรักษาอำนาจซื้อของตนไว้จากภาวะเงินเฟ้อ หมายความว่า
ต้องการให้เงินลงทุนของตนไม่เสื่อมค่า หรือมีมูลค่าลดลง เมื่อเวลาผ่านไป - ลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนรวม หมายความว่า ผู้ลงทุนต้องการให้ระดับผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการลงทุนมีความเหมาะสม ไม่เน้นไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป โดยลงทุนผสมกันไประหว่างวัตถุประสงค์การลงทุนทั้ง 3 ประการที่กล่าวมาข้างต้น
- ในกรณีที่ผู้ลงทุนต้องการมีรายได้ประจำ เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละช่วงเวลา ผู้ลงทุนที่มีวัตถุประสงค์ในลักษณะนี้ เหมาะกับการลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล โดยผู้ลงทุนต้องศึกษานโยบายการจ่ายเงินปันผลของกองทุนจากหนังสือชี้ชวน แล้วเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีเงื่อนไขหรือนโยบายการจ่ายเงินปันผล ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของตน เช่น บางกองทุนรวมมีนโยบายจ่ายเงินปันผลปีละครั้ง ปีละสองครั้ง ปีละไม่เกินสี่ครั้ง หรือจ่ายทุกครั้งที่กองทุนรวมมีกำไรได้ตามเงื่อนไข ก็เลือกให้ตรงกับใจได้ค่ะทั้งนี้ในการจ่ายเงินปันผลของกองทุนรวมนั้นจะส่งผลให้มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนรวมนั้นลดลงในจำนวนเท่าๆ กับมูลค่าที่มีการจ่ายเงินปันผล ฉะนั้นผู้ลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลนั้นอาจจะได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างของการลงทุน (capital gain) น้อยกว่ากองทุนรวมที่มีนโยบายไม่จ่ายเงินปันผลและ เงินปันผลที่ผู้ลงทุนได้รับจากกองทุนรวม ผู้ลงทุนสามารถเลือกได้ว่าจะหักภาษี ณ ที่จ่าย 10 % หรือไม่ให้หักแล้วนำไปรวมเป็นเงินได้ เพื่อเสียภาษีตอนปลายปีก็ได้
- ในกรณีที่ผู้ลงทุนต้องการให้เงินต้นหรือเงินลงทุนของตนเองนั้นเพิ่มพูนงอกเงย โดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำเงินมาใช้จ่ายประจำในระหว่างทาง ผู้ลงทุนที่มีวัตถุประสงค์การลงทุนในลักษณะนี้ เหมาะกับการลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายไม่จ่ายเงินปันผล ซึ่งมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างของการลงทุนมากกว่ากองทุนรวมที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เพราะผู้จัดการกองทุนสามารถนำเงินไปลงทุนได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่า สำหรับผู้ลงทุนที่อาจมีความจำเป็นต้องใช้เงินในระหว่างการลงทุนโดยไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า ก็สามารถขายหน่วยลงทุนเพื่อนำเงินไปใช้จ่ายได้ โดยถ้าผู้ลงทุนเลือกลงทุนในกองทุนเปิดซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้เกือบทุกวันทำการที่บริษัทจัดการหรือตัวแทนสนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนนั้น แต่หากผู้ลงทุนเลือกลงทุนในกองทุนปิด ก็ต้องดูว่าบริษัทจัดการได้นำหน่วยลงทุนไปจดทะเบียนในตลาดรองหรือแต่งตั้งบริษัทใดทำหน้าที่เสนอซื้อเสนอขาย (Market Maker)หน่วยลงทุน แล้วจึงนำกองทุนนั้นไปเสนอขายในตลาดรองหรือบริษัทเสนอซื้อเสนอขายนั้นก็ได้เช่นกัน
คราวนี้มาดูความคิดเห็นของนักลงทุนเมืองไทยกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง
- ไม่ปันดีกว่าครับ เมื่อมีความต้องการใช้เงินบางส่วนก็ขายออกมาเท่าที่จะใช้
- ปันผลดีกว่า ถ้าไม่มีรายได้อื่น ก็เอาปันผลมาใช้จ่ายได้
เพราะถ้าเป็นแบบไม่ปันผล เราจะได้เงินก็ต่อเมื่อขายหน่วยลงทุนออก แต่ถ้ามีรายได้ส่วนอื่นเพียงพอกับค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว ก็เลือกได้ทั้งสองแบบ แบบปันผลจะช่วยลดความเสี่ยงได้ดี
แบบไม่ปันผล"อาจ"จะให้ผลตอบแทนมากกว่า - ไม่มีปันผล ต้องจับจังหวะเข้า-ออกให้เป็นครับ แล้วจะกำไรงาม
ส่วนปันผล จะง่ายหน่อยก็เข้าหลังจ่ายปันผลครับ
เหมาะกับคนที่ต้องการกระแสเงินสดจากปันผล+ไม่รู้จังหวะลงทุน (แต่เสียภาษีปันผล 10% ให้รัฐ) แต่โดยรวมแล้ว กองไม่ปันผลจะเป็นการนำกำไรไปต่อยอด ซึ่งกองปันผลจะนำกำไรขายออกมาให้ผู้ถือหน่วย ซึ่งทำให้กองไม่ปันผลมีโอกาสในการทำกำไรได้มากกว่ากองปันผล แต่มันก็แล้วแต่บุคคลล่ะครับ กองไม่ปันผล BTP(คนพูดเยอะมาก), UOBSDF(นอกกระแส), KFFlex(กองผสมเสี่ยงต่ำกว่านิด), T-Lowbeta(กองเพื่อลดความเสี่ยงให้ต่ำที่สุด) กองปันผล BKD, HI-DIV, KFSDIV, KFFlex-D ตัวพวกนี้กระแสแรง - เหตุผลหลักในการซื้อกองทุนของคุณคืออะไรครับ อยากได้กำไรงามๆก้อนโตๆก็ซื้อแบบไม่ปันผล (อาจขาดทุนก็ได้) หรืออยากมีเงินสดเข้ามาตลอดไว้ใช้ในระหว่างปีแต่ต้องช่วยเหลือรัฐบ้าง(ภาษี10%)ก็เลือกแบบปันผลไป จริงๆแล้วผมว่าเราต้องหาจุดยืนของเราให้ได้ก่อนครับว่าเราลงทุนด้วยเหตุผลอะไร ส่วนตัวผมเลือกแบบปันผลเพราะผมต้องการเห็นเงินเข้ามาจริง สะสมหน่วยลงทุนไปเรื่อยๆจนวันหนึ่งมีรายได้จากปันผลพอสำหรับค่าใช้จ่ายครับ เอาเงินที่ได้จริงๆต้องหน้าดีกว่าเงินก้อนที่คาดว่าจะได้ในอนาคตในความคิดเห็นของผมครับ
- การลงทุนในกองทุนหุ้นมีความเสี่ยงสูง ถ้ามีสภาพคล่องใช้จ่ายสบายๆแล้วมีเงินเย็นเหลือก็นำมาลงได้เลยครับ กองทุนหุ้นไม่ว่าจะมีหรือไม่มีปันผล กองที่ดีในความคิดผมคือกองที่สามารถสร้างการเติบโตได้มากที่สุดอย่างต่อเนื่องยาวนาน(ส่วนใหญ่จะโตหรือจะตกไปตามตลาดหุ้น) ผลงานในอดีตก็ไม่สามารถรับรองผลงานในช่วงต่อไป แต่ก็ควรเลือกกองที่มีผลงานผ่านมาดีทั้งระยะสั้นและยาว การนำผลประโยชน์มาใช้ถ้ากองจ่ายปันผลต้องเสียภาษีปันผล10% ถ้าเราตัดขายเองก็ไม่ต้องเสียภาษี มีความแตกต่างในค่าธรรมเนียมด้วย มีข้อดีข้อเสียแล้วแต่ชอบ ดูเปรียบเทียบผลงานแต่ละกองรวมทั้งการประเมินผลงานได้จากWEBSITEหลายแห่งตามที่เพื่อนสมาชิกให้ข้อมูลไว้ เช่น http://www.morningstarthailand.com, http://www.wealthmagik.com
- ถ้าโจทย์คือ ตอนนี้เกษียณแล้ว และไม่มีรายได้แล้ว หากต้องการเงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แนะนำเป็นกองทุนหุ้นปันผลค่ะ โดยเฉพาะ กองทุน MFC Hi Div เพราะกองนี้ที่ผ่านมา performance ดีมาก จ่ายปันผลบ่อยมากส่วนตัวก้อลงทุนกับกองนี้กองเดียว เพราะไม่ได้ทำงานแล้วเหมือนกัน จึงต้องการเงินปันผลมาเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต ที่ผ่านมากองนี้ตอบโจทย์มากๆ เพราะปัจจุบันได้รายได้จากเงินปันผลเดือนละประมาณแสนกว่าบาท (ไม่ได้ทำงานมา 3 ปีแล้ว ที่ผ่านมากินเงินปันผลจากกองทุนนี้ตลอด) เงินส่วนนึงก้อนำมาใช้จ่าย เงินส่วนที่เหลือ(ส่วนมาก)ก้อนำมาซื้อหน่วยเพิ่ม ทำให้พอร์ตโตขึ้นเรื่อยๆ เงินต้นก้อมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ในการลงทุนของตนเองให้ชัดเจนว่าต้องการลงทุนแบบไหน แล้วก้อเลือกลงทุนกับกองทุนที่ตอบโจทย์ของตัวเองมากที่สุด ขอให้โชคดีกับการลงทุนค่ะ
- เราซื้อแบบไม่ปันผล
ซื้อหลายกอง เพราะแต่ละกองมีผลงานในแต่ละช่วงไม่เท่ากัน
ถึงกองหนึ่งช้า อีกกองหนึ่งก็จะเร็ว สร้างเงินให้ได้ดีกว่าไปทุ่มเทกับกองเดียว
ใช้วิธีขายเอากำไรออกมาใช้ เพราะได้เต็มๆ ไม่ต้องเสียภาษี
(เมื่อก่อนก็ซื้อปันผล ยอมเสีย 10% แต่ตอนหลังๆ พอภาษีมันมากขึ้นๆๆ ชักเสียดายอ่ะ)
เวลาที่เงินไปอยู่ที่กองทุนหุ้นมากเกินไป ก็จะลดความเสี่ยงโดยการโยกมาที่กองตราสารหนี้บางส่วนเผื่อไว้ถ้าตลาดหุ้น crash จะได้ไม่หมดตัว - ค่าธรรมเนียมเข้า ส่วนมากจะไม่เสีย
เสียค่าธรรมเนียมออก ซึ่งจะอยู่ประมาณ 0.2%-1% (แล้วแต่กองทุน) ซึ่งไม่มาก
(ถ้าเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้)
ไม่ต้องเฝ้าทุกวันหรอก เพราะราคากองทุนไม่ค่อยขยับหวือหวาเท่าไร
เพราะเขากระจายความเสี่ยงอยู่แล้ว
อาจจะดูคร่าวๆที่ set index ว่าขึ้นหรือลงมากไหม
ถ้าลงมาก ก็มาดู nav ของกองที่เราซื้อว่า ราคาขยับไปใกล้ต้นทุนหรือยัง
ควรที่จะโยกไปกองที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าหรือยัง
เรากลัวเหตุการณ์แบบ black monday ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
(และไม่มีใครรู้ว่าอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเมื่อไร)
ซึ่งตลาดหุ้นเทลงแบบไม่มีการให้เตรียมตัวหรือตั้งตัวได้ทัน
ถ้าตลาดหุ้นค่อยๆลง ไม่น่าเป็นปัญหา เพราะยังโยกกันทันอยู่
หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องให้เงินจมอยู่อย่างนั้นจนกว่าตลาดหุ้นจะฟื้นมาถึงระดับเดิม
เราจะโยกกำไรออกมาไว้ที่กองตราสารหนี้เป็นระยะๆ
จนกว่าจะมีเงินสะสมในกองตราสารหนี้เท่ากับจำนวนเงินต้นที่ลงไว้ในตราสารทุน แล้วจึงจะหยุด
แล้วให้เงินในกองตราสารทุนทำงานต่อไป
เพราะนั่นคือ ให้ตัวกำไรล้วนๆที่ทำงานต่อไป เพราะได้ดึงต้นทุนคืนมาไว้ในที่ปลอดภัยแล้ว - คนที่จะทำแบบเรา
มีข้อแม้อย่างเดียว คือ ต้องไม่โลภอยากได้อีกเยอะๆเร็วๆ
ต้องคุมตัวเองให้ได้
เพราะมันจะมีแรงดึงดูดสูงมาก ที่จะเก็บเงินไว้ในกองทุนที่มีผลงานดี(และแน่นอนว่า ความเสี่ยงสูง) เพื่อที่จะได้ผลตอบแทนมากและเร็ว
วิธีของเรา จะไม่ทำให้เกิดกำไรมากและเร็วแบบนั้น
แต่จะได้เรื่อยๆ สม่ำเสมอ
ที่สำคัญ คือ อย่ากังวลว่า จำนวนหน่วยที่มีอยู่จะลดลง
เพราะเราถือหลักดูจำนวนเงินคงเหลือ (ไม่ใช่จำนวนหน่วยคงเหลือ)
และเพราะเวลาคิดผลตอบแทน (จะเป็น 10% 20% ต่อปีก็ตาม)
ไม่ว่าเวปไหนๆๆ ก็คิดจากจำนวนเงินทั้งนั้น ไม่ใช่จำนวนหน่วย - จัดไปเลยคับ 4 จตุรเทพ
BKD
HI-DIV
SCBDV
KFSDIV

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น